Godzilla Minus One

หากพูดถึง “สัตว์ประหลาด” จากภาพยนตร์ที่โด่งดังมากที่สุด ชื่อของ “ก็อดซิลล่า” สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ขนาดมหึมาจากวงการจอเงินญี่ปุ่น ย่อมติดอันดับต้นๆ หรืออันดับหนึ่งอย่างแน่นอน นับตั้งแต่มันผุดขึ้นมาจากก้นมหาสมุทร ออกอาละวาดถล่มเมืองหลายครั้งมากว่า 70 ปี ก่อนจะถูกนำไปรีเมคทั้งเวอร์ชั่นภาพยนตร์ญี่ปุ่นและภาพยนต์ฮอลลีวู้ดในปัจจุบัน โดยในครั้งนี้เราจะมาพูดถึงภาพยนตร์ก็อดซิลล่าเรื่องล่าสุดจากญี่ปุ่น บ้านเกิดของราชาสัตว์ประหลาดตัวนี้ นั่นก็คือ Godzilla Minus One (2023) ที่พึ่งเข้าฉายบนสตรีมมิ่ง Netflix ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

จุดเริ่มต้นของก็อดซิลล่า แม้จะมาจากแรงบันดาลใจจากสัตว์ประหลาดในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง The Beast from 20,000 Fathoms (1953) จนนำไปสู่แนวคิดของคนทำหนังที่อยากจะมี “สัตว์ประหลาดตัวแรก” บนจอเงินแดนอาทิตย์อุทัย แต่ทีมงานและผู้กำกับอย่าง “ฮอนดะ อิจิโระ” เลือกที่จะสร้างหนังเรื่องก็อดซิลล่าขึ้นมาในปี 1954 จนสร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลก แถมยังสามารถบุกไปถึงวงการภาพยนต์ฮอลลีวู้ดได้สำเร็จในปีถัดมา ก่อนที่จะโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มเกือบกึ่งศตวรรษ ค่ายหนังเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง TOHO ก็ได้ฤกษ์สั่งลาด้วยการปล่อย Godzilla: Final Wars เข้าฉายในโรงหนังเมื่อปี 2004 จนกระทั่งมีการรีบู๊ตอีกครัังใน Shin Godzilla ในปี 2016 โดยผู้กำกับ  “ฮิเดะอากิ อันโน” ผู้ให้กำเนิดอนิเมชั่นในตำนานอย่าง “Neon Genesis Evangelion” โดยได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ จากการเล่าเรื่องที่สมจริงมากขึ้นกว่าภาคก่อนๆ

ก่อนที่ในปี 2023 ที่ผ่านมา ก็อดซิลล่า จะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งใน Godzilla Minus One ซึ่งครั้งนี้ได้ผู้กำกับ ทาคาชิ ยามาซากิ ที่เคยส่งหนังน้ำดีที่เรียกน้ำตาคนดูมาแล้วอย่าง Always : Sunset on Thrid street มากำกับ ทำให้ก็อดซิลล่าภาคนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ โดยการกวาดรายได้ทั่วโลกมากกว่า 115 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งคว้ารางวัลออสการ์ สาขาวิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม ประจำปีนี้มากอด ก่อนที่ Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งชื่อดังจะนำมาฉายทั่วโลก และได้รับความนิยมจนขึ้นอันดับ 1 ในหลายประเทศ รวมทั้งในบ้านเรา 

หากไตรภาค Always : Sunset on Thrid street คือวันชื่นคืนสุขของชาวญี่ปุ่น ในช่วงที่ประเทศกำลังฟื้นตัวหลังสงครามจนก้าวสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอีกครั้ง ถึงขั้นเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก  แต่ Godzilla Minus One กลับฉายภาพสังคมและบ้านเมืองที่หดหู่ของญี่ปุ่นหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ใหม่ๆ ประเทศที่เต็มไปด้วย ความตาย ซากปรักหักพัง และความยากจน อันเป็นผลมาจากไฟสงครามที่ญี่ปุ่นร่วมก่อไว้ และได้รับผลลัพธ์กลับมาอย่างหนัก จนถึงขั้นตกอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจโลกรายใหม่

ก่อนที่ฝันร้ายฉากใหม่จะเริ่มขึ้น เมื่อสัตว์ประหลาดในตำนานบนเกาะที่ห่างไกล ถูกปลุกขึ้นมาด้วย ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งจากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของชาติตะวันตกในมหาสมุทรแปซิฟิก พิษจากรังสีทำให้อสุรกายตัวดังกล่าวเจ็บปวดและกลายพันธุ์ ก่อนที่จะบุกขึ้นมาถล่มกรุงโตเกียวให้พินาศย่อยยับด้วยความเคียดแค้นต่อเหล่ามนุษย์ที่รุกรานธรรมชาติ ทำให้ญี่ปุ่นทั้งประเทศตกอยู่ในหายนะอีกครั้ง ซ้ำเติมความเลวร้ายที่เกิดขึ้นอยู่ก่อนหน้านี้ จากที่ “ไม่เหลืออะไรเลย” กลายเป็นมาอยู่ในสภาวะ “ติดลบ” ตามชื่อภาพยนตร์ สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงสามัญชนคนเดินดินเท่านั้นที่จะรับมือและจัดการกับก็อดซิลล่าด้วยตนเอง

แม้ว่าก็อดซิลล่า จะได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์มอนสเตอร์ของฝั่งฮอลลีวูดตามที่เกิร่นไปข้างต้น แต่สิ่งที่ซ่อนไว้ผ่านเนื้อเรื่องและการออกแบบตัวละครก็อดซิลล่าในภาพยนตร์เวอร์ชั่นแรกเมื่อปี 1954 คือการสอดแทรกความเจ็บปวดของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อการทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูกโดยกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงปลายสงคราม ที่นอกจากจะคร่าชีวิตคนนับแสน และทำให้ญี่ปุ่นจำนนต่อสงครามแล้ว หลายคนยังต้องทุกข์ทรมานจากกัมมัตภาพรังสีที่มาจากระเบิดนิวเคลียร์ โดยเฉพาะตัวก็อดซิลล่าเอง นอกจากจะออกแบบให้คล้ายคลึงกับสัตว์ที่น่ากลัวทั้งจระเข้ และไดโนเสาร์แล้ว ทีมงานยังออกแบบผิวหนังอันน่ากลัวของอสุรกายให้คล้ายคลึงกับผิวหนังที่เต็มไปด้วยแผลพุพองเน่าเปื่อยของเหยื่อระเบิดปรมาณู ทำให้ก็อดซิลล่ากลายเป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ จากประเทศที่เคยถูกใช้อาวุธดังกล่าวโจมตีจริงในช่วงสงคราม

สำหรับ Godzilla Minus One ที่เป็นการนำภาพยนตร์เวอร์ชั่นปี 1954 มา Re-boost นอกจากจะยังคงแก่นหลักของเรื่องจากต้นฉบับแล้ว ยังสอดแทรกประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ผลพวงจากลัทธิชาตินิยมและเผด็จการทหารในช่วงสงครามที่นอกจากจะนำพาความหายนะไปสู่หลายประเทศที่ญี่ปุ่นรุกรานแล้ว ยังย้อนกลับมาทำลายคนในชาติเอง ทั้งความตายของเหล่าทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกบังคับให้ไปตายในสงครามเพื่อชาติ ถึงขั้นที่กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ติดตั้งระบบดีดตัวบนเครื่องบินรบ เพื่อให้นักบินต้องพลีชีพในยุทธวิธีแบบ “กามิกาเซ่” หรือการบังคับให้เครื่องบินรบพุ่งชนเรือรบหรือเป้าหมายของข้าศึกจนถึงแก่ชีวิต และการดำเนินยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดของรัฐบาลทหาร ทำให้พ่ายแพ้และถูกข้าศึกบุกเข้ามาโจมตีถึงเมืองหลวง ถึงขั้นทิ้งระเบิดเพลิงถล่มกรุงโตเกียวจนคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก และทำให้มหานครให้กลายเป็นซากปรักหักพังและเถ้าถ่าน ดังที่ปรากฏในช่วงต้นเรื่อง 

รวมไปถึงสถานการณ์ทางการเมืองญี่ปุ่นภายในและนอกประเทศ ในช่วงที่สงครามเย็นระหว่างสรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตกำลังจะเริ่มต้นขึ้น จะเห็นได้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นในขณะนั้น แทบจะเต็มไปด้วยข้อจำกัดต่างๆจากการปกครองของสหรัฐอเมริกาที่หวาดกลัวว่าญี่ปุ่นจะกลับมาเป็นศัตรูอีกครั้ง จนดูเหมือนญี่ปุ่นสูญเสียเอกราชกลายๆ ทำให้ขาดแคลนทั้งเครื่องมือ อาวุธ และทรัพยากรที่จะจัดการปัญหา จนไม่สามารถบริหารบ้านเมืองและรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างเต็มที่ เมื่อก็อดซิลล่าบุกขึ้นมาอาละวาด กรุงโตเกียวจึงถูกอสุรกายโจมตีอย่างหนักโดยที่ภาครัฐไม่สามารถทำอะไรได้เลย จนนำไปสู่การรวมกลุ่มกันของอดีตทหารและพลเรือนในการจัดการกับสัตว์ประหลาดด้วยตัวเอง ประเด็นดังกล่าวจึงสะท้อนความอ่อนแอของรัฐที่ไม่สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้ จนทำให้ประชาชนต้องเผชิญกับชะตากรรมเพียงลำพัง ซึ่งจะต่างจาก Shin Godzilla ที่ในเรื่อง ภาครัฐมีความเข้มแข็งพอที่จะรับมือและจัดการกับสัตว์ประหลาดได้

นอกจากนี้แล้ว Godzilla Minus One ยังวิจารณ์ไปถึงการพึ่งพิงมหาอำนาจตะวันตกที่เข้ามามีอิทธิพลหลังสงคราม แต่เมื่อถึงเวลาคับขัน บรรดาชาติตะวันตกเหล่านั้นกลับทอดทิ้ง ดังจะเห็นจากในเรื่องที่ สหรัฐอเมริกาอ้างว่าไม่สามารถใช้ยุทธวิธีทางทหารในการจัดการกับก็อดซิลล่า ที่กำลังพุ่งตรงมายังญี่ปุ่น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับสหภาพโซเวียต ที่อีกฝ่ายอาจจะมองว่าการใช้ทหารและอาวุธโจมตีสัตว์ประหลาดในทะเล จะเป็นการแสดงแสงยานุภาพเหนืออีกฝ่าย ที่อาจจะบานปลายเป็นความขัดแย้งระหว่างอเมริกากับโซเวียตในภาพหลัง โดยถ้าหากดูบริบทจากในอดีต เราอาจจะเห็นได้จากการถอนทหารสหรัฐฯ จากเวียดนามใต้ ลาว กัมพูชา และไทยในช่วงปลายสงครามเวียดนาม หรือแม้แต่ในยุคปัจจุบันที่สถานการณ์ความผันผวนทางการเมืองสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อนโยบายการต่างประเทศแก่ชาติพันธมิตร โดยเฉพาะญี่ปุ่นเองที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากจีนและเกาหลีเหนือ จนทำให้เริ่มมีแนวคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ญี่ปุ่นกลับไปมีทหารอีกครั้ง หากสหรัฐฯเองไม่สามารถช่วยเหลือญี่ปุ่นได้ทันท่วงที

Godzilla Minus One จึงไม่ใช่ภาพยนตร์แนวสัตว์ประหลาดสู้กันที่มีอยู่เกลื่อนวงการ แต่เป็นการกลับไปหาจุดเริ่มต้นของมหากาพย์เรื่องนี้ ที่ว่าด้วยผลพวงของสงครามและการใช้อาวุธนิวเคลียร์ พร้อมทั้งยังสอดแทรกประเด็นทางสังคมและการเมืองร่วมสมัยอื่นๆ โดยสามารถสื่อสารออกมาตรงๆต่อผู้ชม จึงไม่แปลกใจที่ก็อดซิลล่าภาคนี้จะเปิดประตูเข้าให้หนังสัตว์ประหลาดเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ที่ผู้ชมไม่ได้ต้องการดูแค่เพื่อความบันเทิงอย่างเดียวแบบในอดีตเท่านั้น หลังจากที่ Shin Godzilla ได้เริ่มปูทางมาตั้งแต่ปลายทศวรรษที่แล้ว

แม้สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็นจะสิ้นสุดลงไปหลายสิบปีแล้ว แต่ไฟสงครามและขัดแย้งอื่นๆ ยังคงเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก และอาจรอเวลาที่ประทุครั้งใหญ่ เหมือนอสุรกายที่รอวันตื่น หากไม่รีบยุติโดยเร็ว

อ้างอิง

CREATED BY

นักออกแบบกราฟิกจากเชียงใหม่ สนใจในเสียงดนตรี ภาพยนตร์ และความเป็นไปของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ไปพร้อมกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น