บอลไทยไปบอลโลก 2026

หากใครได้ติดตามข่าวเกมกีฬาลูกหนังในบ้านเราคงจะได้ลุ้นได้เสียวกันไปกับการคัดเลือกฟุตบอลโลกที่จะเกิดขึ้นในปี 2026 ที่การแข่งครั้งสุดท้ายของประเทศไทยเราในครั้งนี้ที่เจอกับสิงค์โปร์และชนะไปด้วย 3 – 1 ก็ตาม แต่น่าเศร้าตรงที่คะแนนเราดันไปพอดีกับทีมประเทศจีน ประกอบกับว่าแต่ละกลุ่ม ทาง FIFA ต้องการแค่สองประเทศเท่านั้น ทำให้ไทยเราที่อยู่กับเกาหลีใต้และจีนต้องตกรอบไปพร้อมสิงค์โปร์ และหวังว่าประโยค “บอลไทยไปบอลโลก” จะเกิดขึ้นสักวัน โดยในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปย้อนดูว่าช้างศึกและการคัดเลือกบอลโลกมีความเป็นมากันอย่างไรบ้าง

ในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1930 อุรุกวัยเจ้าภาพได้ส่งบัตรเชิญมาให้สยามและญี่ปุ่นเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ทั้งสองประเทศต้องปฎิเสธการแข่งขันอันด้วยเหตุผลขอการเดินทางที่ในยุคสมัยนั้นยากลำบาก โดยในช่วงเวลานั้นยังไม่มีใครนั่งเครื่องบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาได้สักคน ถึงแม้ว่าสามารถนั่งเรือมาได้แต่ก็กินเวลานานเป็นอย่างมาก บวกกับไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะส่งคนไปได้

ต่อมาประเทศไทยเข้าร่วมการคัดเลือกฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกจริง ๆ จัง ๆ ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1974 ซึ่งทาง FIFA มีโควต้าให้ทีมจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (AFC) และสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย (OFC) เข้าแข่งฟุตบอลโลกได้เพียงแค่ 1 ประเทศเท่านั้น ทำให้ทั้งสองสมาพันธ์ต้องคัดเลือกกันเองเสียก่อน โดยนัดแรกของไทยที่นำทัพโดย กึนเทอร์ กลอมบ์ โค้ชจากเยอรมัน ต้องมาเจอกับเวียดนามใต้ (ในตอนนั้นยังอยู่ในช่วงสงครามเวียดนาม) ในวันที่ 16 พฤษภาคม 1971 ณ สนามทงแดมุน ประเทศเกาหลีใต้ โดยเป็นนัดระบุสายที่คัดว่าใครจะอยู่กันเองกับ Group A หรือไปอยู่กับพี่ใหญ่เกาหลีใต้ใน Group B ซึ่งผลจากการยิงเข้าประตูตัวเองของ ศุภกิจ มีลาภกิจ ในนาทีที่ 81 ส่งให้ไทยไปอยู่ Group B และอาจจะเป็นเพราะยังไม่คุ้นชินกับระดับความเข้มขัน ทำให้ประเทศไทยตกรอบไปด้วยผลแพ้ 3 นัดกับ 0 คะแนนไปโดยปริยาย ส่วนโควต้านั้นเป็นของประเทศออสเตรเลีย

จากนั้นการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1978 กับโควตาเดิม มีโค้ชสัญชาติเยอรมัน อย่าง เพเทอร์ ชนิทเกอร์ เป็นผู้นำทัพ และเข้าไปอยู่ในกลุ่ม 1 ที่มีฮ่องกง, สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนิเซีย และศรีลังกาที่ภายหลังตัดสินใจถอนตัว ทุกนัดที่เข้าไปคัดเลือกที่สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ ครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกตรงที่ช้างศึกยิงประตูได้เยอะ ครั้งแรกทำประตูไม่ได้เลย แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่ละทีมต่างก็งัดความสามารถของตัวเองกันออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้ไทยรั้งท้ายกลุ่มและตกรอบไปด้วยการชนะครั้งเดียว นั่นก็คือการชนะอินโดนิเซียด้วยคะแนน 3 – 2 และแพ้ 4 ครั้ง

หลังจากนั้นประเทศไทยประสบกับความพ่ายแพ้แบบท้ายตารางอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลกปี 1982 ที่ไทยอยู่ท้ายตารางด้วยผลเสมอ 1 ครั้งและแพ้ 2 ครั้ง, ปี 1986 ไทยขยับขึ้นมาเป็นที่ 3 ของกลุ่ม 3B นำบังกลาเทศด้วยผลชนะ 1 ครั้ง, เสมอ 2 ครั้งและแพ้ 3 ครั้ง, ปี 1990 ช้างคึกกลับมาท้ายตารางอีกครั้ง ด้วยผลชนะ 1 ครั้ง แพ้ 5 ครั้ง จนกระทั่งประเทศไทยขยับขึ้นมาเป็นอันดับสามจากห้าในรอบคัดเลือกโซนเอเชียของปี 1994 ด้วยผลชนะ 4 ครั้ง แพ้ 4 ครั้ง แต่ก็ไม่เพียงพอให้เข้ารอบต่อไป ต่อมาในการแข่งคัดเลือกโซนเอเชียชองปี 1998 ประเทศไทยอยู่ร่วมกับเกาหลีใต้และฮ่องกงที่ถือว่าเป็นตัวตึงของฝั่งเอเชียตะวันออก ซึ่งประเทศไทยทำสุดความสามารถแล้วแต่ก็ยังไม่พอให้เข้ารอบต่อไป

และแล้วประเทศไทยก็ได้สร้างปาฎิหารย์ เพราะในการคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 2002 โซนเอเชียจากการคุมทีมของ ปีเตอร์ วิธ แม่ทัพสัญชาติอังกฤษ โปร์ไฟล์ดี ทำให้ประเทศไทยที่อยู่กลุ่ม 6 ร่วมกับเลบานอน, ศรีลังกา และปากีสถาน ผ่านเข้าสู่การคัดเลือกต่อไปด้วยผลชนะ 5 ครั้งและเสมอ 1 ครั้ง เข้าไปอยู่กลุ่ม A ในการคัดเลือกครั้งที่สอง แต่แน่นอนว่าบุญมีแต่กรรมบัง ในรอบนี้ประเทศไทยอยู่กับ อิหร่าน, อิรัก, บาห์เรน และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งด้วยความที่เราไม่รู้เยอะมากเกี่ยวกับสไตล์การเล่นของทั้ง 4 ประเทศนี้ ทำให้ไทยต้องรั้งท้ายกลุ่มไปด้วยผลเสมอ 4 ครั้งและแพ้ 4 ครั้ง

หลังจากศึกครั้งนั้นทำให้การคัดเลือกของไทยกลับมาอยู่ในสภาพที่คุ้นชิน แต่ไม่ได้แย่ลง ที่ไม่ว่าจะเป็นรอบปี 2006 ที่ไทยจบด้วยอันดับ 3 ในกลุ่ม 5 ด้วยผลชนะ 2 ครั้ง, เสมอ 3 ครั้ง และแพ้ 1 ครั้ง นำเยเมนไปสองแต้ม, รอบปี 2010 ที่จำนวนประเทศเยอะซะจนทำให้ต้องเปลี่ยนการแบ่งกลุ่มย่อย เป็นการแข่งแบบแบ่ง 2 กลุ่มและแพ้คัดออก โดยประเทศไทยเจอกับมาเก๊า และอัดมาเก๊าจนไม่เหลือสภาพด้วยคะแนน 13 – 2 ประตู ผ่านเข้าสู่รอบที่สามด้วยการชนะเยเมนด้วย 2 – 1 ประตู แต่ก็ต้องกลับมารั้งตารางกลุ่มอีกครั้งด้วยผลจากการจับฉลากอยู่กลุ่ม 2 กับญี่ปุ่น, บาห์เรนและโอมาน พร้อมผลเสมอ 1 ครั้งและแพ้ 5 ครั้ง ต่อในรอบปี 2014 ไทยได้เข้าสู่รอบที่สองทันทีเนื่องด้วยผลงานที่เมื่อเทียบกับทีมในเอเชียด้วยกันเองแล้ว จากนั้นก็ผ่านเข้าสู่รอบที่สามด้วยการชนะปาเลสไตน์ด้วย 3 – 2 ประตู แต่ก็กลับมาพบเจอเรื่องเดิม ๆ อีกครั้งในรอบที่สาม เพราะดันไปอยู่กลุ่มเดียวกับออสเตรเลีย, โอมาน และซาอุดีอาระเบีย ทำให้ต้องจบด้วยผลชนะ 1 ครั้ง, เสมอ 1 ครั้ง และแพ้ 4 ครั้ง

ปาฏิหาริย์ครั้งที่สองที่แลกมาจากความพยายามก็แสดงผลขึ้น โดยการคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 2018 โซนเอเชีย ด้วยการติวเข้มของอดีตดาวรุ่งที่ผันตัวมาเป็นโค้ชอย่าง ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เราผ่านไปรอบที่สองเนื่องจากการอิงอันดับของ FIFA World Ranking และผ่านไปรอบที่สามพร้อมเข้าไปเล่น Asian Cup 2019 ด้วยผลชนะ 4 ครั้งและเสมอ 2 ครั้งกับอิรัก แต่แล้วทุกอย่างก็จบลงในรอบที่สามที่ไทยเราดันไปเจอทั้งโจทย์เก่าและโจทย์ใหม่ อย่าง ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิรักที่ตามเรามาในกลุ่ม B ด้วย ทำให้เราจบลงที่ท้ายตารางด้วยการเสมอ 2 ครั้งและแพ้ 6 ครั้ง แน่นอนว่าเราคนไทยก็ช้ำไม่แพ้กันเพราะในช่วงนั้นถือว่าเป็นความหวังของคนไทยไม่แพ้กัน เพราะทั้งโค้ชก็ผลงานเด่น ผู้เล่นก็ดี แต่นอกจากเราพัฒนาแล้ว ประเทศอื่นก็ไม่หยุดพัฒนาเช่นเดียวกัน เขาเก่งกว่าในครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เขาก็เก่งขึ้นไปอีก

ในรอบปี 2022 ด้วยรูปแบบเดิมทำให้เราผ่านไปรอบที่สองอย่างสบายใจ แต่สบายได้ไม่นานเพราะเราดันไปอยู่กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์โจทย์เก่า, เวียดนามที่เรียกได้ว่าตอนนั้นเป็นม้ามืด มาเลเซียเพื่อนบ้านและอินโดนิเซีย และผลก็ออกมาว่าเราได้แค่อันดับสี่ ผ่านเข้าสู่รอบสามเอเชียนคัพพร้อมมาเลเซียด้วยผลชนะ 2 ครั้ง, เสมอ 3 ครั้ง และแพ้ 3 ครั้ง จนในรอบล่าสุดที่เป็นที่พูดถึงกันในปัจจุบันอย่างรอบปี 2026 ที่ไทยเข้าไปอยู่ในอันดับที่ 3 ตามอันดับที่จัดโดย FIFA และส่งเรามารอบที่ 2 เพื่อมาเจอระดับเบิ้มในวงการลูกหนังอย่างจีน, เกาหลีใต้ และผู้ที่ผ่านรอบแรกมาได้อย่างสิงค์โปร์ที่นัดสุดท้าย เราต้องการ 4 ประตูเป็นอย่างต่ำเพื่อที่จะผ่านเข้าไปรอบ 3 แต่ท้ายที่สุดแล้วเราจบที่ 3 ประตูต่อ 1 พลาดโอกาสไปบอลโลก แต่ได้ไปต่อในเอเชียนคัพต่อไป

หลังจากนี้เราได้แค่กลับมาลับคมสไตล์การเล่นของเราไปพร้อมกับฝีมือการคุมทีมของ มาซาตาดะ อิชิอิ ที่พึ่งเข้ามาคุมทีมชาติไทยในช่วงปลายปีที่ผ่านมาให้คมยิ่งขึ้นและแกร่งยิ่งขึ้นในรอบหน้า โดยหวังว่าสักวันหนึ่ง “บอลไทยไปบอลโลก” จะกลายมาเป็นสิ่งที่มากกว่าแค่ประโยคบอกเล่าเฉย ๆ

อ้างอิง